
-
ททท. “เมืองน่าเที่ยว Year of Celebration” พร้อมเสิร์ฟโปรเด็ดเที่ยวหน้าฝน
May 15, 2025 | LIFESTYLEททท. เปิดโครงการ “เมืองน่าเที่ยว Year of Celebration” พร้อมเสิร์ฟ 12 แคมเปญ โปรเด็ดเที่ยวหน้าฝนเจาะกลุ่ม Sub-Culture กระตุ้นเศรษฐกิจ 55 จังหวัดเมืองน่าเที่ยวทั่วไทยช่วงกรีนซีซัน ตั้งเป้าสร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท กฤษฎา ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า โครงการเมืองน่าเที่ยว Year of Celebration เป็นอีกหนึ่งโครงการสำคัญที่จัดขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลอง Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025 เพื่อมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทยในช่วง Green Season 2568 โดยบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และพันธมิตรทุกภาคส่วน ส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ผลักดันเมืองน่าเที่ยวให้เป็นจุดหมายปลายทางใหม่ สร้างแรงบันดาลใจในการท่องเที่ยว เพิ่มทางเลือกที่หลากหลาย กระตุ้นการเดินทางและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวไทยมุ่งสู่เป้าหมายในปี 2568 สร้างรายได้จำนวน 1.17 ล้านล้านบาท และจำนวนนักท่องเที่ยว 205 ล้านคน-ครั้ง ด้วยแนวคิด City […]
-
โปรนี้ต้องลอง ‘ดอน จิโอวานนี’ คอร์สอาหารอิตาเลียนเริ่มต้น 599
May 8, 2025 | LIFESTYLE“เที่ยงนี้กินอะไรดี” ถ้ายังนึกไม่ออกเราขอแนะนำ ‘ห้องอาหารดอน จิโอวานนี’ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ เราอยากชวนเพื่อนๆ ที่ชื่นชอบอาหารอิตาเลียนมาเปิดประสบการณ์การรับประทานอาหารที่สะท้อนถึงแก่นแท้ของอาหารอิตาเลียนในบรรยากาศหรูหราในมื้อเที่ยง พร้อมการรังสรรค์เมนูพิเศษโดย ‘เชฟอิม’ เชฟประจำห้องอาหารผู้มากด้วยความสามารถ โปรโมชันคอร์สเมนูมื้อเที่ยงมีให้เลือก 2 คอร์สในราคาเพียง 599 บาทสุทธิ และ 3 คอร์สในราคาเพียง 799 บาทสุทธิ ซึ่งคัดสรรเมนูที่หลากหลายและลงตัวในทุกสัมผัส อาทิ • ซุปครีมกุ้งล็อบสเตอร์ เนื้อเนียนละมุน หอมกลิ่นทะเล • สปาเก็ตตี้ผัดหอยลายและซูกินี่ซอสไวน์ขาว ให้รสชาติสดชื่น • กุ้งลายเสือทอด เสิร์ฟพร้อมผักร็อคเก็ตและซอสส้มผสมน้ำมันคามีเลีย • เนื้อวัวส่วนหน้าท้องย่าง เสิร์ฟพร้อมซอสเห็ดทรัฟเฟิล รสเข้มข้น • ทีรามิสุรสส้มสไตล์อิตาลี สร้างมิติใหม่ของขนมหวาน • พานาคอตต้าราดซอสเบอร์รี่ รสเปรี้ยวหวานที่ลงตัว นอกจากนี้ ยังมีเมนูอิตาเลียนเลิศรสอีกมากมาย 🤩 ที่พร้อมให้บริการ ที่ ห้องอาหารดอน จิโอวานนี ชั้นล็อบบี้ โรงแรมเซ็นทารา […]
-
GWM ทุ่ม 2,300 ล้านบาท ตั้งศูนย์ทดสอบความปลอดภัยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
May 6, 2025 | RIDEGWM ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” โดยในงาน Auto Shanghai 2025 ครั้งที่ 21 นอกจากจะได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้เข้าชมงานทั่วโลกด้วยทัพยนตรกรรมกว่า 40 รุ่น จาก 6 แบรนด์หลัก GWM ยังได้ประกาศ 3 กลยุทธ์สำคัญเพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจในระดับโลกอีกด้วย ได้แก่ 1.) ยกระดับมาตรฐานสากลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ พร้อมตอบความต้องการในทุกตลาดด้วยนวัตกรรมที่หลากหลายและครอบคลุม 2.) พัฒนานวัตกรรมระบบขับเคลื่อนที่ล้ำหน้าและหลากหลายของตนเองเพื่อผู้ใช้ทั่วโลก 3.) สร้างระบบนิเวศร่วมกับชุมชนทั่วโลก พร้อมทุ่มงบประมาณกว่า 500 ล้านหยวน (2,300 ล้านบาทโดยประมาณ) เพื่อจัดตั้งศูนย์ทดสอบความปลอดภัยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ทั้งหมดนี้ คือการมุ่งสร้างการเติบโตในระดับสากลของ GWM เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ระดับโลกที่ล้ำหน้าด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง มอบประสบการณ์อัจฉริยะในการเดินทางเพื่ออนาคตที่ครอบคลุมกว่าและเหนือกว่าในทุกมิติอย่างแท้จริง มู่ เฟิง ประธาน GWM กล่าวว่า “ภารกิจของ GWM คือการก้าวข้ามขีดจำกัดในทุกมิติ เพื่อมอบยนตรกรรมอัจฉริยะที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานทั่วโลก โดยในครั้งนี้บริษัทฯ มาพร้อมกับ 3 กลยุทธ์สำคัญที่กำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัย การพัฒนาและผลิตเครื่องยนต์อย่างครบวงจร รวมทั้งการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ที่ยั่งยืนในตลาดต่าง ๆ ทั่วโลก ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกในทุก ๆ ด้าน GWM จะยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้บุกเบิกทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมสร้างไลฟ์สไตล์ยานยนต์ที่สอดคล้องกับแนวคิด ‘เทคโนโลยีที่เต็มไปด้วยความรัก และโลกที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต” (Tech With More Love. World With More Life) เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าทั่วโลก” กลยุทธ์สำคัญในการกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจในระดับโลกของ GWM ประกอบด้วย Consistency & Diversity: GWM ตอกย้ำความเป็นผู้นำในระดับโลกผ่านกลยุทธ์ “มาตรฐานระดับโลกควบคู่กับการปรับให้เหมาะสมในแต่ละท้องถิ่น” (Global Standards + Local Customization Strategy) โดยมุ่งยกระดับทั้งคุณภาพและความปลอดภัยของรถยนต์ตามมาตรฐานสากล […]
-
Petal Map ประสบการณ์การเดินทางที่แม่นยำกับ GWM HAVAL H6
Apr 21, 2025 | RIDEGWM ชวนเปิดประสบการณ์การขับขี่แห่งอนาคตผ่าน ALL NEW GWM HAVAL H6 หลังจากการลงนามในข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญกับ HUAWEI HMS for Car ซึ่งได้พลิกโฉมทุกการเดินทางด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยกับการติดตั้งระบบแผนที่นำทางอัจฉริยะ Petal Map ที่ไม่เพียงแค่พาผู้ขับขี่ไปถึงจุดหมาย แต่ยังเปิดมิติใหม่แห่งการเดินทางที่เหนือกว่า ทั้งความแม่นยำ เรียลไทม์ ล้ำสมัย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงในทุกการเดินทาง ทุกเส้นทาง 3 ไฮไลต์สำคัญของ ALL NEW GWM HAVAL H6 ด้วย Petal Map ไฮไลต์ที่ 1: การนำทางสมจริงระดับเลน (Immersive lane-level navigation experience) ที่มีอยู่ใน ALL NEW GWM HAVAL H6 ได้ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้แม่นยำและเหนือชั้นยิ่งขึ้น ไม่เพียงแค่บอกทางแต่ยังแสดงภาพเสมือนจริงแบบเต็มหน้าจอที่รวมทุกรายละเอียดสำคัญไว้อย่างครบถ้วน ทั้งจำนวนช่องทางเดินรถ ทิศทางการเลี้ยว เส้นแบ่งเลน และป้ายจำกัดความเร็ว ทำให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับโลกการขับขี่ในมุมมอง 3 มิติ (3D mode) ที่จำลองอาคารและจุดสังเกตสำคัญรอบตัว เมื่อ ALL NEW GWM HAVAL H6 […]
-
GWM รุกตลาดส่งออกเต็มพิกัดเสริมกำลังการผลิต ณ โรงงาน GWM ระยอง
Apr 20, 2025 | RIDEยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” ล่าสุด เดินหน้าขับเคลื่อนแผนการผลิตรถยนต์หลากหลายรุ่นครอบคลุมทุกประเภทพลังงานจากโรงงานอัจฉริยะ (GWM Smart Factory) ในจังหวัดระยอง เพื่อขยายการส่งออกสู่ตลาดโลก ที่สำคัญในเดือนเมษายน GWM (Thailand) เตรียมส่งออกเจ้าเหมียวไฟฟ้า NEW GWM ORA Good Cat รถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นแรกที่ผลิตในประเทศไทยสู่ตลาดโลกเป็นครั้งแรก โดยจะส่งออกไปยังประเทศบราซิล ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์อีกด้วย ก่อนหน้านี้ GWM (Thailand) ได้มีการส่งออกรถยนต์เอสยูวีไปยังประเทศอินโดนีเซียและเวียดนามมาแล้ว โดยได้ส่งออกรถยนต์รุ่น GWM TANK 300 HEV, GWM TANK 500 HEV และ GWM HAVAL H6 HEV ไปยังประเทศอินโดนีเซีย ในขณะที่ประเทศเวียดนาม ได้ส่งออกรถยนต์ทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ GWM HAVAL H6 HEV และ GWM HAVAL JOLION HEV ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากประเทศดังกล่าว ทั้งหมดนี้ คือ การสะท้อนความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจของ GWM […]
-
5 จุดต้องเช็กหลังเดินทางไกล!
Apr 18, 2025 | RIDEเทศกาลสงกรานต์จบลงแล้ว แต่ภารกิจของคนรักรถยังไม่จบ หลังจากรถพาคุณและครอบครัวลุยเส้นทางไกลมาแล้ว ก็ถึงเวลาที่คุณจะตอบแทนรถคันโปรดด้วยการดูแลอย่างถูกวิธี เพื่อให้พร้อมใช้งานได้เต็มสมรรถนะในทุกการเดินทางครั้งต่อไป งานนี้ฟอร์ดจะมาแนะนำ 5 จุดเช็กสำคัญที่เจ้าของรถไม่ควรมองข้าม พร้อมนวัตกรรมและแพ็กเกจบริการหลังการขายที่ช่วยมอบความอุ่นใจเรื่องค่าใช่จ่ายที่คุ้มค่ากว่าในระยะยาว 5 จุดสำคัญที่ควรตรวจสอบหลังการเดินทางไกล ได้แก่ อย่ามองข้ามน้ำมันเครื่อง: สภาพอากาศร้อนและการเดินทางต่อเนื่องหลายชั่วโมง ทำให้ระบบเครื่องยนต์ทำงานหนัก ควรตรวจสอบทั้งปริมาณและคุณภาพของน้ำมันเครื่อง เพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ ของเหลวต่างๆ ต้องพร้อม: ตรวจสอบและเติมน้ำยาหล่อเย็น น้ำมันเบรก และน้ำฉีดกระจกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้พร้อมสำหรับการเดินทางครั้งหน้า เช็กเบรกให้มั่นใจ: ตรวจสอบผ้าเบรกและน้ำมันเบรก โดยเฉพาะหากขับผ่านเส้นทางขึ้นเขาหรือการจราจรที่คับคั่ง ทั้งนี้การขับขี่ที่ใช้เบรกบ่อยหรือขับรถเร็ว อาจทำให้ผ้าเบรกหรือยางสึกหรอเร็วกว่าปกติ ช่วงล่างต้องพร้อมลุย: ตรวจสอบโช้คอัพและชิ้นส่วนช่วงล่างหลังผ่านเส้นทางขรุขระหรือการบรรทุกสัมภาระหนัก เช็กลมยางและดอกยาง: เช็คความดันลมยางและสภาพดอกยาง เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่และช่วยประหยัดเชื้อเพลิง การตรวจเช็ก 5 จุดข้างต้นหลังการเดินทางไกลจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญด้วยเครื่องมือมาตรฐาน เจ้าของรถฟอร์ดสามารถมั่นใจในมาตรฐานการบริการจากศูนย์บริการฟอร์ดทั่วประเทศ ด้วยทีมช่างที่มีความเชี่ยวชาญและผ่านการฝึกอบรมตามมาตรฐานระดับโลก และอุปกรณ์วิเคราะห์ที่ทันสมัยและมีความแม่นยำ โดยฟอร์ดมีระบบ Intelligent Oil-Life Monitor (IOLM) ที่คอยตรวจวัดคุณภาพน้ำมันเครื่องแบบเรียลไทม์ ซึ่งหากระบบแจ้งเตือนที่ระดับ 5% เจ้าของรถควรนำรถเข้าตรวจเช็กภายใน 2 สัปดาห์ หรือ 800 กิโลเมตร ช่วยให้ลูกค้ารถฟอร์ดวางแผนการเข้ารับบริการได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังมีแอปพลิเคชัน FordPass ที่ให้ลูกค้าตรวจสอบสถานะของรถยนต์ได้ด้วยตนเองผ่านโทรศัพท์มือถือได้อย่างง่ายดาย คุ้มค่ากว่า ด้วยโปรแกรมดูแลรถที่คิดมาเพื่อเจ้าของรถตัวจริง รถยนต์ฟอร์ดมีระยะการเข้าศูนย์บริการที่นานกว่ารถทั่วไป โดยกำหนดไว้ที่ทุก 15,000 กิโลเมตรหรือ 12 เดือน พร้อมโปรแกรม ‘น้ำมันเครื่องสุดคุ้ม (Oil Save Pack – OSP)’ ที่ช่วยประหยัดเพิ่มขึ้นถึง 11%[1] เมื่อซื้อเป็นแพ็กเกจสำหรับการเข้ารับบริการเช็กระยะที่ศูนย์บริการฟอร์ดทั่วประเทศ พร้อมใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 100% ที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ได้ดียิ่งขึ้น สำหรับรถที่หมดระยะรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่แล้ว ฟอร์ดยังมอบข้อเสนอสุดคุ้มด้วยโปรแกรม ‘ชุดน้ำมันเครื่องราคาประหยัด (Eco OSP)’ เพิ่มทางเลือกน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ […]