ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเมื่อทางพีอาร์ฮอนด้าโทรมาชวนไปเที่ยวกัมพูชา เพราะแอบดีใจเล็กๆ ที่จะได้ไปกัมพูชาครั้งแรกในชีวิต ความรู้เกี่ยวกับประเทศกัมพูชาของผมมีจากการดูหนังเรื่อง THE KILLING FIELDS (1984) ที่คนไทยรู้จักกันในชื่อเรื่อง ทุ่งสังหาร ซึ่งเป็นหนังแนวดราม่าเจ้าของรางวัลออสการ์ถึง 3 รางวัล อีกเรื่องที่สร้างภาพจำให้ผมว่ากัมพูชาคือแดนลี้ลับน่าค้นหาคือ Tomb Raider เพราะลาร่า ครอฟท์ ทูมไรเดอร์ ภาค 1 ส่วนใหญ่ถ่ายทำที่ นครวัด นครธม เพียงแค่นี้ก็เป็นเพียงพอที่จะให้ผมตอบรับการชวนไปเที่ยวจากทางฮอนด้าแบบไม่ต้องคิดมาก
การไปเที่ยวครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม “CR-V Reach Out ก้าวออกไป…ให้ไกลกว่าจินตนาการ” โดยมีการคัดเลือกผู้โชคดีไปร่วมออกทริปด้วยรถยนต์ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ของตัวเองในการไปลุยบนเส้นทางสู่อารยธรรมแห่งลุ่มน้ำโขง ทั้ง 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รวมระยะทางกว่า 1,200 กิโลเมตร ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ที่หน้าตาหล่อๆ เมืองๆ ถ้าเอาไปลุยขนาดนั้นมันจะเป็นยังไง
การเดินทางจะไปกันในรูปแบบคาราวาน มีรถยนต์ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ กว่า 20 คันในการเดินทาง เริ่มต้นปล่อยตัวที่ ศูนย์ฝึกอบรม บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จํากัด นิคมอุตสาหกรรมบางชัน ถนนเสรีไทย มุ่งหน้าสู่จุดหมายแรกจังหวัดสระแก้ว
ก่อนที่จะข้ามพรมแดนไทยสู่ประเทศกัมพูชา ณ ด่านพรมแดนคลองลึก เพื่อยื่นเอกสารผ่านแดน ขั้นตอนก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมาก แค่เอารถไปจอดรอในจุดจอดรถ ที่เหลือก็เดินไปยื่นเอกสารได้เลยมีป้าย และเจ้าหน้าที่ทั้งไทย และกัมพูชาคอยอำนวยความสะดวก แต่กว่าจะข้ามด้านไปได้ก็ใช้เวลาอยู่เป็นชั่วโมงเหมือนกัน เพราะจุดนี้มีทั้งนักท่องเที่ยว พ่อค้า แม่ค้า และรถขนส่งสินค้านานา ชีวิตผ่านเข้าออกระหว่างประเทศอย่างคับคั่ง
หลังจากผ่านมาได้ก็ออกเดินทางรูปแบบคาราวานสู่เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา ขับกันยาวๆ ซึ่งถนนในประเทศกัมพูชาในปัจจุบันถือว่าค่อนข้างดี แต่ข้อควรระวังคือในกัมพูชานั้นจะเป็นการขับรถในเลนขวา คือขับช้าวิ่งขวา แซงให้แซงด้านซ้ายต่างกับบ้านเรา และรถยนต์ในประเทศเค้าจะเป็นรถยนต์พวงมาลัยซ้าย เวลาเราจะแซงก็ต้องอาศัยเพื่อนที่นั่งไปด้วยเป็นคนมองระยะแซงให้ บอกเลยโคตรตื่นเต้น เหมือนฝากชีวิตไว้กับเพื่อนเลยทีเดียว
ไม่รู้เท็จจริงยังไง : ได้ยินเค้าเล่ากันว่าในปัจจุบันการเอารถยนต์พวงมาลัยขวาแบบบ้านเรา ข้ามไปประเทศกัมพูชาอาจจะไม่ให้เข้าแล้วหรือถ้าเข้าได้ก็อาจจะมีการตรวจเข้มกันเลยทีเดียว
เสียมราฐ หรือชื่อท้องถิ่นว่า เสียมเรียบ เป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศกัมพูชา ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ อยู่ริมฝั่งทะเลสาบเขมร ห่างจากกรุงพนมเปญ 314 กิโลเมตร โดยใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ประมาณ 5 ชั่วโมง จุดแรกที่เราจะมุ่งหน้าไปคือไฮไลท์ของประเทศกัมพูชาเลยคือ นครวัด ซึ่ง ณ เวลานี้ก็ปาเข้าไปบ่าย 3 กว่าๆ แล้ว
ก่อนที่จะเข้าไปบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์นครวัดได้นั้นก็ต้องผ่านขั้นตอนการทำบัตรก่อน ซึ่งขั้นตอนนี้ก็ง่ายๆ เพียงแค่ถ่ายรูป กับแจ้งว่าต้องการซื้อบัตรเข้าชมกี่วันโดยค่าบัตรเข้าชมจะแบ่งเป็นตั๋วเข้าชมวันเดียว ต่อคน 37 ดอลลาร์ หรือราว 1,200 บาท ขณะที่ราคาตั๋วแบบเหมา 3 วัน ราคา 62 ดอลลาร์ หรือราว 2,000 บาท และแบบเหมา 7 วันเราคา 72 ดอลลาร์ หรือราว 2,300 บาท แม้ขั้นตอนจะไม่ยุ่งยากแต่ขอให้ทำใจไว้ก่อนเลยว่าคิวยาวววววววววมาก
รถตุ๊กๆ กัมพูชา เป็นการเดินทางเที่ยวชมอุทยานอีกแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว ค่าบริการจะอยู่ประมาณ 15$ นั่งได้ 3-4 คน รายละเอียดแล้วแต่ตกลงกันเลย ขอบอกว่าหลายคนพูดไทยได้ดี ไม่ต้องกลัวว่าจะคุยกันไม่รู้เรื่อง
กล้วยปิ้งกัมพูชา “เจกอัง” เป็นของว่างที่ได้รับความนิยมของคนกัมพูชา (อันนี้ไม่รู้ว่าผมโดนอำรึเปล่า 555) กล้วยฝานบางๆ ผึ่งแดด แล้วจึงนำมาย่างให้เหลืองด้วยเตาถ่าน รสเปรี้ยวอมหวานอร่อยแปลกๆ ดี ผมกินแล้วทำไมนึกถึงมะม่วงกวนก็ไม่รู้
พี่จีวัน Mr. Chivoan Liv ไกด์ชาวกัมพูชา พูดไทยได้ เล่นมุขเป็น จะมานำเที่ยว พร้อมให้ความรู้ และอำนวยความสะดวกให้กับพวกเราในครั้งนี้
แค่ทางเข้าก็รับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่อลังการ แต่ปัจจุบันมีหลายจุดที่ทำการบูรณะซ่อมแซม อย่างสะพานที่จะต้องเดินผ่านเข้าไปด้านในก็เป็นแพพลาสติกอย่างดีและดูไม่ขัดตาสักเท่าไร
เหมือนต้องมนต์สะกดกับภาพที่อยู่ตรงหน้า นี่หรือคือสิ่งก่อสร้างจากมนุษย์ในสมัยที่ไม่มีเทคโนโลยีใดๆ มีแต่แรงงาน และศรัทธาในการก่อสร้างเท่านั้น ช่างเป็นสิ่งก่อสร้างที่ทรงพลัง แตกต่างจากภาพที่เห็นในหนังสือ หรือในสื่อต่างๆ โดยสิ้นเชิง สมแล้วกับที่เป็นมรดกโลก
นครวัดได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2535 ภายใต้ชื่อ อังกอร์ (เมืองพระนคร) ถือเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เป็นศาสนสถานตั้งอยู่ในเมืองพระนคร จังหวัดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา
เริ่มสร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยเป็นศาสนสถานประจำพระนครของพระองค์ ตัวเทวสถานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันนับตั้งแต่ก่อสร้างแล้วเสร็จ
แต่เดิมนครวัดเป็นเทวสถานของศาสนาฮินดูซึ่งสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระวิษณุ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธ นครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ตัวเทวสถานถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยรุ่งเรือง และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา โดยปรากฏในธงชาติกัมพูชา
นครวัดเป็นจุดท่องเที่ยวหลักของประเทศกัมพูชาตลอดจนได้รับลงการทะเบียนเป็นมรดกโลก ภายใต้ชื่อ เมืองพระนคร ปราสาทนครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างในช่วงยุครุ่งเรืองของอาณาจักรขะแมร์โดยมีหินทรายเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก
แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมนครวัดประมาณ 1,600,000 คน
เป็นที่น่าเสียดายเราไปถึงเย็นเกินไป แม้จะกึ่งเดินกึ่งวิ่งแล้วก็ตามเราก็ไม่สามารถขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของปราสาทหินได้ทัน เพราะพอไปถึงเจ้าหน้าที่แจ้งว่าวันนี้หมดเวลาเข้าชมแล้ว แอบเสียดายเล็กน้อย
อิ่มเอมตระการตาก็ถึงเวลากลับไป เช็คอิน ณ โรงแรม Sokha Siem Reap Resort & Convention Center โรงแรมระดับ 5 ดาว เรียกว่าโคตรใหญ่ ใหญ่มากๆ จนไม่รู้จะบรรยายยังไง อลังการงานสร้างสุดๆ ห้องพักก็โคตรกว้างเรียกว่าดูดี แถมยังห่างจากทางเข้าอุทยานเพียง 5 นาทีใครกะว่าจะเข้าออกอุทยานบ่อยๆ ขอแนะนำเลย
ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนทางฮอนด้าก็ได้จัด ศิลปะการแสดงนาฏศิลป์กัมพูชาอันมีเอกลักษณ์ ท่วงท่าร่ายรำอันสวยงามของระบำอัปสรา เหมือนหลุดออกมาจากภาพจำหลักหินในปราสาทนครวัดเลยทีเดียว เป็นศิลปะการแสดงด้านนาฏศิลป์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ
เช้าตรู่ตี 4 กว่าๆ
เช้ามืดวันนี้เรามีนัดกันเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัดซึ่งเป็นไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวจากหลากหลายประเทศหลั่งไหลกันมา พวกเราคิดว่าไปกันเช้าขนาดใครมันจะแหกขี้ตาไปดูว้าา ระหว่างเดินทางไปแรกๆ ก็ไม่เห็นใครพอไปสักพักนึงเริ่มเห็นรถตู้ รถบัส รถตุ๊กๆ จักรยาน คนเดินเท้า มากันจากหลักร้อย เป็นหลักพัน! นี่มันอะไรกันมันยังไม่ดี 5 เลยนะเว้ยเฮ้ย!
ทุกคนต่างมุ่งหน้ามาด้วยจุดหมายเดียวกัน คือได้เห็นภาพพระอาทิตย์ขึ้นด้านหลังปราสาทนครวัดท้องฟ้าเป็นสีแดงอมส้มสวยงามแต่ตอนนี้มันมืดมาก แม้แต่มือตัวเองยังแทบจะมองไม่เห็น ผู้คนจากหลากหลายประเทศต่างจ้ำเท้าเข้าไปจับจองทำเลที่ดีที่สุดแม้ว่าตอนนี้จะมองอะไรไม่ค่อยเห็นก็ตาม กลุ่มของพวกเราได้ทำเลที่ถือว่าค่อนข้างดีจากคำแนะนำของไกด์ทีมเรา
ระหว่างรอพระอาทิตย์ขึ้นก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหิว เพราะบริเวณโดยรอบมีอาหารเช้าขายเป็นเรื่องเป็นราว หลายร้านมีการมาเดินรับออร์เดอร์ด้วย ของที่ขายก็เหมือนๆ กันหลักๆ ก็พวกชา กาแฟ โกโก้ แซนวิช แต่ผมสังเกตุเห็นหลายคนห่ออาหารกันมาเหมือนมาปิคนิคก็ไม่ปาน
เหมือนฟ้าจะไม่เป็นใจเมฆวันนี้ค่อนข้างหนา แต่นี้มันเพิ่ง 6โมงกว่า ยังมีเวลาลุ้นอีกหลายนาที ระหว่างนั้นก็มีพ่อค้า แม่ค้า วนเวียนมาเสนอขายสินค้าอยู่ตลอดเวลา เพลินๆ ดี แต่ที่ผมชอบที่สุดคือหนุ่มน้อยคนนี้มาขายเครื่องเป่า ที่ผมเข้าใจว่ามันคือขลุ่ยซึ่งที่เจ๋งกว่าตัวขลุ่ยก็คือซองใส่ขลุ่ยที่ดูสวยงามสร้างสรรค์สุดๆ
จนแล้วจนรอดเราก็พ่ายแพ้ต่อก้อนเมฆที่ก่อตัวหนาจนสรุปได้ตรงนี้เลยว่าเราไม่เห็นพระอาทิตย์แล้วล่ะ…เศร้าาาาา แต่ไม่เป็นไร เรายังมีอะไรอย่างอื่นให้ดูอีกเยอะในเมื่อจุดนี้เป็นจุดท่องเที่ยวที่ทุกคนต้องมา การที่จะมีของที่ระลึกจากฝีมือของท้องถิ่นก็เป็นอีกสิ่งที่น่าสนใจ
จุดชมปราสาทหินสวยๆ นอกจากจะมีบริเวณสระน้ำด้านซ้าย และขวาของปราสาทแล้ว จุดอื่นๆ ที่ห่างออกไปก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว บางทีได้ชมปราสาทไกลๆ ก็ไม่ได้ลดพลังของปราสาทลงแต่อย่างใด
นครธม
หลังจากทำใจได้กับการพลาดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัด เราก็ไม่รอช้าที่จะไปกันต่อที่นครธม แค่ผ่านประตูทางเข้านครธมก็ทำให้ผมลืมเรื่องพระอาทิตย์ไปได้เลย แค่ทางเข้ายังขลังขนาดนี้ ตัวปราสาทบายนจะขลังขนาดไหน
จุดเด่นที่สุดคือทางเข้าด้านใต้ ที่มีลักษณะเป็นหน้า 4 หน้า ก่อนจะเข้าสู่นครธม จะเป็นแถวของยักษ์ ทางด้านขวา และเทวดาทางด้านซ้าย เรียงรายแบกพญานาคอยู่สองข้างสะพาน ประตูด้านใต้นี้ได้รับการอนุรักษ์ฟื้นฟูไว้ได้สมบูรณ์กว่าบริเวณทางเข้าอื่นๆ
พอลงจากรถเราก็ได้เจอกับไกด์รับเชิญ อ.เผ่าทอง ทองเจือ อาจารย์จะมาเป็นไกด์กิตติมศักดิ์ ที่ทางฮอนด้าจัดมาเซอร์ไพรส์พวกเราในทริปนี้
ปราสาทบายน
นครธมเป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายและเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขะแมร์ สถาปนาขึ้นในปลายคริสต์ศวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 9 ตารางกิโลเมตร อยู่ทางทิศเหนือของ นครวัด ภายในเมืองมีสิ่งก่อสร้างมากมายนับแต่สมัยแรกๆ และที่สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และรัชทายาท ใจกลางพระนครเป็นปราสาทหลักของพระเจ้าชัยวรมัน เรียกว่า ปราสาทบายน
ปราสาทบายน เป็นปราสาทหินของอาณาจักรเขมร อยู่ในบริเวณของใจกลางนครธม สร้างขึ้นเป็นวัดประจำสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ก่อสร้างในราวปี พ.ศ.1724 -พ.ศ.1763 หลังจากที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงได้ชัยชนะจากการขับไล่กองทัพอาณาจักรจามปา ถือเป็นศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกไม่น้อยหน้านครวัด ตัวสถาปัตยกรรมมีความซับซ้อนทั้งในแง่โครงสร้างและความหมาย เนื่องจากผ่านความเปลี่ยนแปลงด้านศาสนา และความเชื่อมาตั้งแต่ครั้งนับถือเทพเจ้าฮินดู และพุทธศาสนา
อาคารมีลักษณะพิเศษ เนื่องจากส่วนของหอเป็นรูปหน้าหันสี่ทิศ จำนวน 49 หอ ปัจจุบันคงเหลือเพียง 37 หอ ลักษณะโดยทั่วไปจะมี 4 หน้า 4 ทิศ แต่บางหออาจมี 3 หรือ 2 แต่บริเวณศูนย์กลางของกลุ่มอาคาร จะมีหลายหน้า ผมพยายามจะหาความแตกต่างของแต่ละหน้า แต่ตอนนี้หาทางออกจากปราสาทให้เจอก่อนจะดีกว่า มันซับซ้อนหลายทางมากเดินแล้วงงไปหมด
รูปสลักและศิลปกรรมจะมีล้อมรอบอยู่ 2 ชั้น เรียกว่าชั้นในและชั้นนอก ชั้นนอกจะสร้างก่อนชั้นใน ระเบียงจะมีเสาหินเรียงรายสองข้าง และมักมีรูปสลักนูนต่ำของนางอัปสร รวมทั้งรูปสลักภาพประวัติความเป็นมาและสังคมในสมัยนั้น เช่น การรบระหว่างขอมกับจาม เป็นต้น
ทางขึ้นลงค่อนข้างชัน แม้ในปัจจุบันจะมีการสร้างบันไดไม้ไว้อำนวยความสะดวกแล้วก็ตาม เด็กๆ มาหารายได้พิเศษโดยการแต่งชุดโขน สไตล์กัมพูชา ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวที่อยากเก็บภาพหมู่เป็นที่ระลึก ถ้าฟังไม่ผิดก็แค่ 1 ดอลลาร์แค่นั้นเอง ผมว่าสวยงามแปลกตาดีเหมือนกัน
บริเวณโดยรอบนครธมก็มีร้านเครื่องดื่มหลากหลายไว้ดักพวกเรา ผมว่าไปแล้วก็ไม่รอดยังไงก็ต้องซื้ออะไรกินดับร้อนอยู่ดี บอกไว้ก่อนเลยไปเที่ยวกลางแจ้งน้ำดื่มนิอย่าให้ขาด เพราะอากาศร้อนมากกกกกก
นั่งรถต่อไปอีกนิดเราก็มาแวะชม ปราสาทพระขรรค์ จริงๆ แล้วปราสาทแต่ละชุดที่เราไป ก็ไม่ได้ห่างกันซักเท่าไหร่ ถ้ามีเวลาผมก็อยากจะเช่าจักรยานเที่ยวเหมือนกัน เพราะกะจากระยะคร่าวๆ ไม่น่าจะเกิน 20 กิโลเมตร กับการได้ชมจุดสนใจหลักๆ ประมาณ 5-6 ที่ แต่บางจุดต้องวิ่งผ่านทางลูกรัง ก็จะมีเจอฝุ่นเยอะหน่อย กับคนที่นี่ขับรถค่อนข้างเร็วก็ต้องระวังเป็นพิเศษ
ปราสาทพระขรรค์
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1734 เป็นปราสาทหินในยุคท้าย ๆ ของอาณาจักรเขมร เป็นพุทธสถานสมัยบายน พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงสร้างอุทิศถวายแด่พระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 2 ซึ่งเป็นพระราชบิดา ปรากฏเจดีย์ทรงระฆังคว่ำขนาดเล็กจำหลักด้วยศิลาทรายตั้งอยู่ภายในปราสาทองค์หนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่เก็บอัฐิของพระราชบิดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
ปราสาทพระขรรค์เป็นศาสนสถานที่ล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลง ตัวอาคารมีลักษณะเด่นที่การก่อสร้างด้วยศิลา 2 ชั้น โดยใช้เสาหินทรายกลมขนาดใหญ่รับน้ำหนักโครงสร้างและคาน ที่บานประตูแต่ละปราสาท มีรูปสลักอสูรเป็นคู่ๆ ยืนถือกระบองเสมือนคอยพิทักษ์ดูแลศาสนสถานแห่งนี้
เป็นที่น่าสังเกตว่า ภาพพระพุทธรูปมักถูกทำลายหรือแก้ไข คงเหลือแต่ภาพจำหลักนูนต่ำของฤๅษี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพฤๅษีกำลังนั่งบำเพ็ญพรตในท่า “โยคาสนะ” สลักอยู่ตามผนังหรือเสาภายใต้ซุ้มเรือนแก้ว
ที่สุดท้ายที่เราจะไปชมกันคือ ปราสาทบาปวน
ปราสาทบาปวนเป็นปราสาทขอมที่อยู่กลุ่มปราสาทนครวัด สร้างขึ้นในยุคพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 (พ.ศ.1550-1600) ตั้งอยู่ในเมืองยโสธรปุระ ทางด้านทิศใต้ของปราสาทนครวัดประมาณ 30 กิโลเมตร
ปราสาทบาปวนมีลักษณะเป็นรูปทรงพีระมิด มีฐานเป็นชั้นๆ ส่วนบนสุด เป็นปราสาทประธานหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ลักษณะของตัวปราสาทประธานมียอดเรียวแหลม คล้ายกับปราสาทพนมรุ้ง มีระเบียงคตถึงสามชั้นที่เชื่อมต่อกันได้ตลอด
ปราสาทบาปวนจัดได้ว่าเป็นต้นแบบของศิลปะแบบบาปวนโดยแท้จริง และเป็นศิลปะร่วมแบบเขมรของปราสาทในประเทศไทยหลายแห่งด้วยกัน แต่ในสมัยที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเข้ามาแทนที่ในศาสนาพราหมณ์ ปราสาทบาปวนถูกรื้อลงไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพื่อนำไปสร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ ในปี พ.ศ. 2538 ปราสาทบาปวนได้ถูกบูรณะอีกครั้งโดยความช่วยเหลือจากรัฐบาลฝรั่งเศส จนแล้วเสร็จ และได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ โดยได้รับการกล่าวขานว่าเป็นปราสาทที่สวยที่สุดในกลุ่มปราสาทนครวัด
แม้ทริป “CR-V Reach Out ก้าวออกไป…ให้ไกลกว่าจินตนาการ” จะยังไม่จบการเดินทางกัมพูชา แต่จะพาลูกค้า Honda CR-V ผู้โชคดี ขับรถตะลุยต่อไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มุ่งหน้าสู่แขวงจำปาศักดิ์ เพื่อชมธรรมชาติที่สวยงามและมรดกโลกที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ ได้แก่ น้ำตกคอนพะเพ็ง ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ไนแองการ่าแห่งเอเชีย ปราสาทหินวัดพู มรดกโลกแห่งที่สองของประเทศลาว ไร่กาแฟปากซองไฮแลนด์ พื้นที่ปลูกกาแฟผืนใหญ่สุดในแถบเอเชีย น้ำตกตาดเยือง น้ำตกขนาดใหญ่ ที่ไหลเป็นลำธารเอื่อยๆ ก่อนจะตกลงจากหน้าผาสูงมากระทบยังแผ่นดินเบื้องล่าง ทำให้เกิดเป็นละอองไอน้ำฟุ้งกระจายไปทั่ว และน้ำตกตาดฟาน ซึ่งถือเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในลาว ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ผ่านทางด่านชายแดนสปป.ลาว-ไทย ช่องแม็ก จังหวัดอุบลราชธานี
ทำให้มั่นใจได้ว่า ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ มีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม พร้อมตอบสนองการใช้งานอเนกประสงค์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะบนเส้นทางที่ท้าทายจินตนาการ
ส่วนพวกเรานั้นต้องขอลาแต่เพียงเท่านี้ โอกาสหน้าถ้ามีอีกครั้งหน้าก็อยากไปยาวๆ จนจบทริปเหมือนกัน…บายยยยยยย
ข้อมูลบางส่วนอ้างอิงจาก
– https://th.wikipedia.org/wiki/นครวัด
– http://www.sac.or.th/