การลิ้มลองอาหารและเครื่องดื่มของแต่ละท้องถิ่น นับเป็นหนึ่งในวิธีการเรียนรู้และสัมผัสวัฒนธรรมของท้องถิ่นนั้นๆ ที่ดีที่สุด ซึ่งการดื่มไวน์ในไร่ที่เต็มไปด้วยเถาองุ่น ก็เปรียบเสมือนการได้ลิ้มรสวัฒนธรรมนั้นที่ต้นตออย่างแท้จริง ในสมัยก่อนการทัวร์ชิมไวน์ถือเป็นกิจกรรมเพื่อคนเฉพาะกลุ่ม เช่นคนร่ำรวย คนที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคผลิตไวน์มาแต่โบราณกาลอย่างทวีปยุโรป อย่างไรก็ตามในสมัยนี้ทัวร์ชิมไวน์เป็นที่นิยมมากขึ้นในเกือบทุกทวีป ทำให้ไม่ว่าจะนักท่องเที่ยวสายประหยัดหรือจ่ายไม่อั้น ต่างเลือกทัวร์ชิมไวน์ได้ง่ายขึ้น
เมื่อไม่นานมานี้ สมาคมผู้ประกอบการไวน์ไทยประสบความสำเร็จในการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของไวน์เขาใหญ่ กับกรมทรัพย์สินทางปัญญา นับเป็นการเน้นให้เห็นถึงคุณภาพของไวน์ไทย ทั้งยังมีส่วนช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มาทัวร์ชิมไวน์ในประเทศมากขึ้น อโกด้า หนึ่งในผู้ให้บริการห้องพักออนไลน์ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก (OTA) จึงขอถือโอกาสนี้ เผยจุดหมายปลายทางระดับโลกสำหรับการไปทัวร์ชิมไวน์ชั้นเยี่ยม ที่คอไวน์ไม่ควรพลาด
ภูมิภาคผลิตไวน์แต่โบราณกาล
1.จิบไวน์อิตาลีแท้ที่แควันทัสคานี ประเทศอิตาลี
หากคุณชื่นชอบไวน์เคียนติ (Chianti) ก็ต้องไปเมืองเกรเว่ อิน เคียนติ (Greve in Chianti) ในแคว้นทัสคานี แหล่งผลิตไวน์เคียนติชั้นหนึ่งที่ยากจะหาที่ใดมาเปรียบ ในเมืองมีห้องที่เก็บรักษาไวน์เคียนติไว้หลากหลายชนิด ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถแวะชิมได้ตามความชอบ สำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้การผลิตไวน์ในภูมิภาคนี้ ต้องไปที่โรงกลั่น Montefioralle Winery ที่มีทั้งโปรแกมทัวร์และชิมไวน์ให้ได้เลือกสรรค์ตามความสะดวก
สำหรับที่พักที่ให้บรรยากาศชนบทอิตาลีสุดๆ บ้าน Borgo Di Pietrafitta Relais เป็นวิลลาที่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมมาจากโรงนา มีวิวอันสวยงามของภูเขาและหมู่ไม้ให้มองได้ไม่รู้เบื่อ
2.ลิ้มรสไวน์แดงระดับชนะรางวัลที่เมืองเนฟเชียร์ ประเทศตุรกี
ตุรกีอาจไม่ใช่ประเทศแรกในใจของคนส่วนมากเมื่อพูดถึงไวน์ แต่แท้จริงแล้วประวัติศาสตร์การทำไวน์ของตุรกีนั้น นับย้อนหลังไปได้มากกว่า 7,000 ปี ปัจจุบันไร่องุ่นบูติคของตุรกีขึ้นชื่อมากเรื่องการผลิตไวน์ขาวและไวน์แดงคุณภาพสูง ขณะที่บริเวณชายฝั่งทะเลอีเจียนมีอัตราการผลิตไวน์มากกว่าบริเวณอื่น โรงกลั่นไวน์ Kocabag ในเนฟเชียร์ (Nevşehir) เมืองซึ่งมี Fairy Chimneys of Göreme อันโด่งดัง ก็เป็นอีกจุดที่ควรค่าแก่การไปเยี่ยมชม เรียนรู้ประวัติความเป็นมาอันยาวนานของไวน์ตุรกี และลิ้มรสไวน์แดงหลายชนิดที่ได้รับรางวัลห่างออกไปจากเนฟเชียร์เพียง 10 นาที ใจกลางเมืองเกอเรเม คือโรงแรม Grand Cappadocia Hotel ด้านในมีระเบียงให้ยืนชมวิวของเมืองจากมุมบน และของพื้นบ้านดั้งเดิมของตุรกีที่นำมาใช้ตกแต่งภายในที่เป็นเอกลักษณ์
3.ร่วมฉลองวัฒนธรรมไวน์ที่แคว้นเบอร์กันดี ประเทศฝรั่งเศส
เพราะไวน์รสเลิศเป็นของคู่กับฝรั่งเศสมาช้านาน แทบทุกลิสต์ไวน์จึงมักมีไวน์ฝรั่งเศสอย่างน้อยหนึ่งชนิดให้เห็นอยู่เสมอ ในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปีๆ ที่เมืองชาบลี (Chablis) แคว้นเบอร์กันดี (Burgundy) จะมีการจัดเทศกาลไวน์ที่สำคัญที่สุดงานหนึ่งของประเทศ คอไวน์ตัวจริงและมือใหม่หัดชิมไวน์ต่างพากันไปร่วมชิมและสนุกกับกิจกรรมเกี่ยวกับไวน์ต่างๆ แต่ถ้าพลาดก็ไม่จำเป็นต้องรอถึงปีหน้า เพราะเมืองนี้มีไวน์ให้เลือกชิมได้ตลอดทั้งปีโรงแรม Hôtel Le Maxime อยู่ห่างจากเมืองชาบลีเพียง 20 นาที ไม่ว่าจะชมวิวของแม่น้ำอียอนจากในที่พัก หรือเดินไปแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ จุดช้อปปิ้ง และร้านอาหารมากมายใกล้ๆ ก็สะดวก
ภูมิภาคผลิตไวน์ยุคใหม่
4.จิบกาแบร์เน โซวีญงใต้แสงอาทิตย์ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศอเมริกา
เป็นที่รู้กันทั่วไปในหมู่คนรักไวน์ว่า หุบเขานาปาวัลเลย์ (Napa Valley) เป็นภูมิภาคที่เหมาะสำหรับการผลิตไวน์ กาแบร์เน โซวีญง มากที่สุด ด้วยสภาพอากาศที่อบอุ่นตลอดทั้งปีของแคลิฟอร์เนีย ฤดูการเพาะปลูกที่ยาวนาน บวกกับดินอีกกว่า 30 ชนิด ที่ล้วนมีส่วนช่วยในกระบวนการผลิต ในหุบเขายังมีโรงกลั่นไวน์อีกกว่า 400 แห่ง ให้ไปเยี่ยมชม นั่งจิบไวน์ชมแสงสีแดงของท้องฟ้ายามเย็นรีสอร์ต Silverado Resort and Spa ตั้งอยู่ห่างจากเส้นทางไวน์ของ Napa Valley เพียง 12 นาที รีสอร์ต แอนด์ สปาแห่งนี้ ให้บริการสปาเต็มรูปแบบเพื่อรอต้อนรับแขกที่ไปเที่ยวชิมไวน์มาทั้งวันให้รู้สึกผ่อนคลาย
5.ลิ้มรสไวน์ขาวของพื้นที่ปลูกไวน์เมืองมาร์กาเร็ตริเวอร์ ประเทศออสเตรเลีย
พื้นที่ปลูกไวน์บริเวณเมืองมาร์กาเร็ตริเวอร์ (Margaret River) ในภาคตะวันออกของออสเตรเลีย เป็นที่ตั้งของไร่องุ่นประมาณ 215แห่ง ซึ่งโด่งดังเรื่องการผลิตไวน์รีสลิ่ง (Riesling) และโซวินญอง บลอง (Sauvignon Blanc) วิวทิวทัศน์ของป่าไม้ ไร่องุ่น และชายหาดในพื้นที่ ผนวกรวมกันเป็นภาพที่งดงามให้ผู้คนได้ชื่นชมเมื่อแวะไปCape Lodge เป็นโรงแรมบ้านพักส่วนตัวบนไร่องุ่น ใจกลางพื้นที่ปลูกไวน์บริเวณเมืองมาร์กาเร็ตริเวอร์ บรรยากาศอันร่มรื่นยามเย็นช่วยให้การเดินชมธรรมชาติในไร่องุ่นหลังห้องเก็บไวน์ปิด เป็นที่น่าจดจำอย่างยิ่ง
6.ดื่มด่ำกับประวัติศาสตร์การผลิตไวน์ของแดนอาทิตย์อุทัยที่จังหวัดยามานาชิ ประเทศญี่ปุ่น
แม้ว่าในญี่ปุ่นจะมีการเพาะปลูกองุ่นกันมาช้านาน แต่ก็เพิ่งเริ่มผลิตไวน์เมื่อครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 นี้เอง โรงกลั่น Château Mercian ณ ใจกลางภูมิภาคผลิตไวน์แห่งยามานาชิ นับเป็นหนึ่งในโรงกลั่นไวน์ของญี่ปุ่นที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในระดับนานาชาติ แถมภายในโรงกลั่นยังมีพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติศาสตร์การผลิตไวน์ ให้ผู้คนเข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกด้วยหากเดินทางต่อไปอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็จะพบกับภูเขาไฟฟูจิ หนึ่งในสามภูเขาไฟศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่น หรือเปลี่ยนไปนั่งชมวิวของภูเขาไฟสบายๆ จากที่พักอย่าง โรงแรม Fuji Kawaguchiko Onsen Hotel New Century ก็ดีต่อใจไม่แพ้กัน
ภูมิภาคผลิตไวน์น้องใหม่
7.ลองชิมไวน์น้องใหม่ที่เขตปกครองหนิงเซี่ย ประเทศจีน
การผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากองุ่นในจีนมีมาตั้งแต่สมัยยุคหินใหม่ แต่กว่าประเทศจีนจะเข้าสู่วงการไวน์ระดับนานาชาติ ก็ล่วงไปถึงช่วงยุค 1970 หนิงเซี่ย (Ningxia) หนึ่งในภูมิภาคผลิตไวน์ที่เกิดขึ้นใหม่ของในจีน มีไร่องุ่นถึง 100 แห่ง ซึ่งหลายแห่งได้รับรางวัลระดับโลกจากการจัดแสดงไวน์นานาชาติ ทั้งยังเปิดให้บริการทัวร์และชิมไวน์ด้วยโรงแรม Yinchuan Xifujing Hotel ตั้งอยู่ใจกลาง หยินชวน (Yinchuan) เมืองหลวงของหนิงเซี่ย จึงสะดวกต่อการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในเมือง และไร่องุ่นบริเวณใกล้เคียง
8.ขับรถชมทิวทัศน์อันน่าประทับใจที่เขาใหญ่ ประเทศไทย
เพียง 2 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ อากาศเย็นสบายที่ระดับ 350 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และดินหลากหลายชนิด ส่งผลให้เขาใหญ่เหมาะสำหรับการผลิตไวน์ชีราซ รสชาติเบา ที่มาพร้อมกลิ่นอายผลไม้ โรงกลั่นไวน์ GranMonte Asoke Valley Winery เป็นหนึ่งในแหล่งผลิตไวน์ยอดนิยมในภูมิภาคนี้ที่ผู้คนต่างเลือกแวะเยี่ยมชม นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 4 ปีติดต่อกันอีกด้วยไม่กี่ก้าวจากไร่องุ่น Asoke Valley คือ Town Square Suites by Toscana Valley วิลลาสไตล์อิตาเลียนที่ล้อมรอบไปด้วยวิวภูเขา ให้บรรยากาศอันเงียบสงบผ่อนคลาย
9.จิบไวน์โรเซ่ที่ดี่สุดของบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย
แม้การผลิตไวน์จะยังไม่เป็นที่นิยมมากนักในอินโดนีเซีย แต่ไร่องุ่น Hatten Wines ในบาหลี คือหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ทำให้การผลิตไวน์ในอินโดนีเซียเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ครอบครัวท้องถิ่นชาวบาหลีเจ้าของไร่ร่วมมือกันผลิตไวน์โรเซ่ (Rosé) ระดับรางวัล ผู้ที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชม Welcome Center ของไร่องุ่น เพื่อเรียนรู้ขั้นตอนต่างๆ ได้ ตั้งแต่การปลูกองุ่นไปจนถึงการเทใส่แก้วไม่ไกลจากไร่องุ่นมีเบดแอนด์เบรคฟาสต์ Eat Sleep Skate ที่มีกระท่อมไม้ให้เลือกพักถึง 4 แบบ แถมยังมีลานสเก็ตให้เล่นอีกด้วย