Mercedes-AMG GT C ถือเป็นรถยนต์โรดสเตอร์ที่มีสมรรถนะดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี จากการผสมผสานนวัตกรรมใหม่ล่าสุดจากรถยนต์ Mercedes-AMG GT R เข้ากับระบบช่วงล่างเอเอ็มจีไรด์คอนโทรลแบบสปอร์ต (AMG RIDE CONTROL Sports Suspension) ที่เป็นจุดเด่นของรถยนต์รุ่นนี้ ทำให้ลูกค้าสามารถสัมผัสได้ถึงประสบการณ์ ขณะขับขี่ที่น่าพึงพอใจที่สุด
ดีไซน์ภายนอก มีการเสริมสปอยเลอร์หลังที่ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับการขับขี่ในสนามแข่งรถยนต์ที่มีช่องทางวิ่งกว้าง, ล้อหลังถูกปรับให้ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับนวัตกรรมต่างๆ ที่เพลาหลัง และเพิ่มประสิทธิภาพขณะเข้าโค้งและเสริมการยึดเกาะ, กระจังหน้าแบบเอเอ็มจีแพนอเมริกาน่า มีวัสดุบังคับลมชุบโครเมี่ยม 15 ซี่เช่นเดียวกับรถแข่งรุ่น Mercedes-AMG GT 3
ฝากระโปรงหน้ายาวและทรงพลัง ทำให้รถดูกว้างขวาง อีกทั้งยังมีช่องรับอากาศที่กว้าง ช่วยให้อากาศไหลผ่านเข้าสู่ระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งช่องรับอากาศนี้สามารถเปิดหรือปิดตัวเองได้อัตโนมัติ ตามความเร็วของรถยนต์ที่ผู้ขับขี่กำหนดเอง นอกจากนั้นยังมีหลังคาผ้าใบ 3 ชั้นที่มีผิวสัมผัสนุ่ม มีโครงสร้างเป็นโลหะผสมแมกนีเซียมและอะลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบา โดยสามารถกางเปิดหรือเลื่อนปิดได้อัตโนมัติภายในเวลา 11 วินาที และใช้งานได้แม้ขณะรถวิ่งที่ความเร็วสูงสุดที่ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ดีไซน์ภายใน มาพร้อมกับเบาะหนัง Nappa ที่อยู่ต่ำเพื่อช่วยโอบล้อมผู้ขับขี่ให้รู้สึกราวกับอยู่ในรถแข่ง, พวงมาลัยเอเอ็มจีเพอร์ฟอร์มานซ์หุ้มหนัง Nappa และ เส้นใย DINAMICA Microfibre หรือสามารถสร้างความโดดเด่นให้มากยิ่งขึ้นด้วยชุดเบาะเสริมแบบเอเอ็มจีเพอร์ฟอร์มานซ์ที่สามารถปกป้องร่างกายของผู้ขับขี่และผู้โดยสารทั้งด้านหน้าและด้านหลังได้มากขึ้นด้วยพนักพิงหลังที่มีความโค้งและเสริมด้วยวัสดุเพื่อความนุ่มสบายที่ด้านข้างมากกว่าเบาะที่นั่งแบบมาตรฐาน
อีกทั้งยังติดตั้งระบบให้ความอบอุ่นบริเวณช่วงคอแบบแอร์สคาร์ฟ (AIRSCARF) และระบบ ทำความเย็นให้กับเบาะสำหรับการขับขี่แบบเปิดประทุนทั้งในฤดูร้อนและฤดูหนาว โดยผู้โดยสารสามารถปรับเลือกอุณหภูมิของระบบทำความร้อนและความเย็นได้ 3 ระดับ, แผงหน้าปัดกว้าง ทำให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกราวกับถูกโอบล้อมด้วยปีกนก และห้องโดยสารที่สามารถ เปลี่ยนสีได้หลากหลายเพื่อเพิ่มสุนทรียะในการขับขี่
ด้านความปลอดภัยและเทคโนโลยี ฝากระโปรงหน้าผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์และวัสดุ SMC (Sheet Moulding Compound) ที่ถูกพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษโดยทีมงานของ Mercedes-Benz TEC (เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทีอีซี) และผู้เชี่ยวชาญของเอเอ็มจี ทำให้ฝากระโปรงรถมีน้ำหนักเบา แต่ยังคงไว้ซึ่งความทนทานและแข็งแรง, ระบบช่วงล่างของทั้ง 4 ล้อมีทั้งปีกนก แกนบังคับเลี้ยว และ โครงฐานคุมล้อ (hub carrier) ที่หล่อจากอะลูมิเนียมเพื่อลดน้ำหนักที่ไม่จำเป็น โดยล้อทั้ง 4 จะถูกควบคุมโดยกลไกปีกนกแบบ 2 ชั้น เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการหมุนของล้อและการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง
Mercedes-AMG GT R และ Mercedes-AMG GT C มาพร้อมกับระบบ AMG DYNAMIC SELECT ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดของเกียร์หลักได้ 3 แบบ คือ “C” (Comfort) สำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกผ่อนคลายและสะดวกสบาย, “S” (Sport) และ “S+” (Sport Plus) เน้นความเร้าใจในการขับขี่ให้มากยิ่งขึ้น และ “I” (Individual) ที่สามารถช่วยจดจำรูปแบบการขับขี่ของผู้ขับได้ อีกทั้งยังมีโหมด “RACE” ที่เป็นโหมดเสริมสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการความแรงและเกียร์ที่เปลี่ยนได้รวดเร็วเหมือนอยู่ในสนามแข่งรถ
มาพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่เร้าอารมณ์ ทั้งนี้ผู้ขับขี่สามารถสร้างข้อกำหนดทั้งหมดในแต่ละโหมดการขับขี่เองได้ด้วยการกดปุ่ม “M” (Manual) ที่อยู่ตรงกลางแผงควบคุม, ระบบเพลาหลังแบบแอคทีฟ (active rear axle steering) ที่จะหมุนเพลาล้อคู่หลังไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเพลาล้อคู่หน้าเมื่อใช้ความเร็วสูงสุด 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อช่วยให้เข้าโค้งได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น และประหยัดแรงในการหมุนพวงมาลัย แต่หากความเร็วสูงสุดเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไปทั้งล้อคู่หน้าและหลังจะหมุนไปในทิศทางเดียวกันเพื่อเสริมสมดุลให้กับตัวรถ ทำให้ท้ายรถไม่ปัดเมื่อหักเลี้ยว
รถยนต์ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ความจุกระบอกสูบ 4 ลิตร ระบบไดเรค อินเจคชั่น และระบบเกียร์แบบคลัทช์คู่ 7 สปีด (seven-speed dual clutch transmission) ที่ช่วยทำให้รถมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น และการตอบสนองของระบบเกียร์จะดีขึ้นตามจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ของผู้ขับขี่