เผยโฉมที่ไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียน McLaren Artura ซูเปอร์คาร์ไฮบริด!
Apr 29, 2021

สิ้นสุดการรอคอย…เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว McLaren Artura ซูเปอร์คาร์ไฮบริด สมรรถนะสูง (High-Performance Hybird-HPH) รุ่นแรกของแมคลาเรน ออโตโมทีฟ จากอังกฤษ ด้วยการพัฒนาบนแพลตฟอร์มใหม่ McLaren Carbon Lightweight Architecture (MCLA) ที่แข็งแกร่งและน้ำหนักเบา กับเลย์เอ้าท์เครื่องยนต์ วี6 ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ วางกลางลำ ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ภายใน 3.0 วินาที สามารถขับเคลื่อนในโหมด EV ได้ระยะทาง 30 กิโลเมตร

All-new McLaren Artura ซูเปอร์คาร์ซีรี่ส์ไฮบริดรุ่นแรกของแมคลาเรนออโตโมทีฟที่ขึ้นสายการผลิตและทำตลาดต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการด้วยการหลอมรวมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกว่า 50 ปี จากการพัฒนา Racing Car สู่ Road Car พร้อมนำเทคโนโลยียานยนต์ล้ำสมัย ระบบไฮบริดชั้นสูงเพื่อถ่ายทอดสมรรถนะที่สมบูรณ์แบบให้ถึงมือผู้ขับขี่
แมคลาเรนทั่วโลก โดยการออกแบบและการผลิตโครงสร้าง มีขึ้นที่ศูนย์ McLaren Composites Technology Center (MCTC) เมืองเชฟฟิล ประเทศอังกฤษ ที่แมคลาเรนลงทุนไปกว่า 2,200 ล้านบาท

สำหรับ McLaren Artura เป็นยนตรกรรมรุ่นแรกที่ใช่แพลตฟอร์มใหม่ McLaren Carbon Lightweight Architecture (MCLA) พร้อมโครงสร้างตัวถังน้ำหนักเบา ที่ประกอบขึ้นด้วยคาร์บอนไฟเบอร์และอลูมิเนียมขณะที่อัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักอยู่ที่ 488 แรงม้าต่อ 1 ตัวเท่านั้น (คำนวณจากน้ำหนักรถเปล่าที่ 1,395 กิโลกรัม)

ด้านเครื่องยนต์ M630 วี6 ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ วางกลางลำตัวรถ ให้กำลังสูงสุด 585 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 585 นิวตัน-เมตร ขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 95 แรงม้า และแรงบิด 225 นิวตัน-เมตร เมื่อรวมประสิทธิผลของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า จะให้กำลังสูงสุดถึง 680 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 720 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังสู่ล้อหลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ SSG  8 จังหวะรุ่นใหม่ สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ 3.0 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ภายใน 8.3 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุด 330 กม./ชม. McLaren Artura ยังเลือกโหมดการขับขี่ได้ ทั้ง Comfort, Sport และความเร้าใจขีดสุดแบบ Track modes ขณะเดียวกันในโหมด Electric ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100% (EV) สามารถทำความเร็วได้สูงสุด 130 กม./ชม.

McLaren Artura เป็นซูเปอร์คาร์ที่ประหยัดน้ำมันมากที่สุด ตั้งแต่แมคลาเรนผลิตรถมา ด้วยอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ย 5.6 ลิตร/100 กม. และการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 129 กรัม/กม. (มาตรฐาน WLTP) ที่สำคัญ McLaren Artura ซูเปอร์คาร์ไฮบริดยังมาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุ 7.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง (KWH) เมื่อชาร์จไฟเต็มสามารถวิ่งในโหมด EV โดยเครื่องยนต์ไม่ติดขึ้นมาเลยได้ระยะทาง 30 กิโลเมตร

การตกแต่งภายในที่เป็นเอกลักษณ์ ภายใต้ปรัชญาการออกแบบ “form follows function” เน้นประโยชน์ใช้สอยและผู้ขับสามารถควบคุมปุ่มสั่งงานได้ทั้งหมด พร้อมหน้าจอสัมผัสความละเอียดสูงขนาด 8 นิ้ว รองรับระบบอินโฟเทนเมนต์ และระบบช่วยขับขั้นสูง (ADAS)

รวมถึงเทคโนโลยีการเชื่อมต่อสื่อสาร ระบบแชร์หน้าจอจากสมาร์ทโฟน (Smartphone Mirroring) และการอัปเดตข้อมูล – ระบบปฎิบัติการผ่านดาวเทียม (Over-The-Air หรือ OTA) ทั้งยังมีระบบติดตามยานพาหนะเมื่อถูกโจรกรรมอีกครั้ง (ออพชั่นนี้ขึ้นอยู่กับตลาดแต่ละประเทศ)

ในส่วนช่วงล่างได้รับการออกแบบใหม่ ด้านหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ อลูมิเนียม ส่วนหลังใช้ปีกนกด้านบนและมัลติลิงค์ด้านล่าง พวงมาลัยผ่อนแรงด้วยไฮดรอลิกและระบบไฟฟ้า ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่พร้อมล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วในคู่หน้า และขนาด 20 นิ้วคู่หลัง ประกบยางสมรรถนะสูง Pirelli P ZERO ด้านหน้า 235/35 ZR19 และหลัง 295/35 R20

คุณวิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้จัดการใหญ่ McLaren Bangkok เปิดเผยว่า McLaren Artura ถูกนำเข้ามาให้แฟนๆ ซูเปอร์คาร์ชาวไทยได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด ถือเป็นซูเปอร์คาร์ไฮบริดสมรรถนะสูงที่จะเข้ามาเปิดศักราชใหม่ของการผลิตรถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าของแมคลาเรน พร้อมตอกย้ำเป้าหมายของแบรนด์ ในการส่งมอบยนตรกรรมที่มีความพิเศษเฉพาะตัวให้แก่ลูกค้า

สำหรับแมคลาเรน เป็นซูเปอร์คาร์ที่ไม่เน้นเพิ่มจำนวนผลิต และไม่มีรถเครื่องยนต์วางหน้า รถสี่ประตู หรือเอสยูวี ดังนั้น เราจะเป็นซูเปอร์คาร์ยี่ห้อสุดท้ายในโลก สำหรับปีนี้ยังทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเข้าหาลูกค้าโดยตรงที่เป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม“ปีนี้จะรุกตลาดมากกว่าที่เคย โดยเน้นกิจกรรมทางการตลาดมากขึ้น พร้อมให้ความสำคัญกับการสร้าง McLaren’s Club Thailand เพื่อให้เป็นชุมชนคนรักซูเปอร์คาร์ ที่ดีที่สุดในประเทศ ส่วน McLaren Artura มั่นใจว่าจะได้การตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยเทคโนโลยีระดับไฮเปอร์คาร์ สมรรถนะเหนือกว่าคู่แข่งทั้งหมด พร้อมราคาที่น่าสนใจ”

สำหรับ McLaren Artura ซูเปอร์คาร์ไฮบริด จะวางตำแหน่งการทำตลาดระหว่าง รุ่น GT และ 720S โดยตั้งราคาขาย 16.7 ล้านบาท พร้อมการรับประกันตัวรถ 5 ปี หรือ 75,000 กม. และรับประกันแบตเตอรี่ 6 ปี หรือ 75,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)

yodel

yodel
โยเดลผู้มาจากดาวอังคาร เราคือผู้ชื่นชอบเรื่องรถยนต์ ท่องเที่ยว กินดื่ม แต่ก็ยังรักการปั่นจักรยานเพราะสามารถพาไปท่องเที่ยว กินดื่มได้เหมือนกัน...วันว่างยังชอบดูหนัง ฟังเพลง และที่ขาดไม่ได้คือวาดภาพ และประกอบแบบจำลอง... IG: instagram.com/yodel FB: facebook.com/yomodels

Subscribe me