บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำความเป็นอันดับหนึ่งวงการรถยนต์หรูในประเทศไทย เปิดตัวยนตรกรรมสปอร์ตสุดหรูรุ่นล่าสุดที่ประกอบในประเทศ อย่าง Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium ที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และดีไซน์อันงดงามที่จะช่วยเสริมรากฐาน และเอกลักษณ์ของรถยนต์ตระกูลนี้ให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น พร้อมนำเสนอในราคา 4,390,000 บาท ผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมพร้อมสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั้ง 32 แห่งทั่วประเทศ
คุณฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่หลากหลายถือเป็นหนึ่งในแนวทางการดำเนินงานที่ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ประสบความสำเร็จ และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าให้เป็นอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์หรูมาโดยตลอด
ในปี พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา เราได้มีการนำเสนอยนตรกรรมรุ่นประกอบในประเทศไทยเพื่อเป็นการมอบทางเลือกที่หลากหลายให้กับลูกค้าทั้งหมดถึง 7 รุ่นย่อย ทั้งจากตระกูล Mercedes-Benz และรถยนต์สปอร์ตสมรรถนะสูง Mercedes-AMG ซึ่งในครั้งนี้ทางบริษัทฯ ยังคงไม่หยุดยั้งที่จะสานต่อแนวทางดังกล่าว และเปิดศักราชใหม่ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ในกลุ่ม ‘ดรีมคาร์’ อย่าง Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium รุ่นประกอบในประเทศที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และดีไซน์อันงดงามที่จะช่วยเสริมรากฐาน และเอกลักษณ์ของรถยนต์ตระกูลนี้ให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น พร้อมตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าผู้ชื่นชอบความหรูหราสไตล์สปอร์ตได้เป็นอย่างดี”
“Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium รุ่นประกอบในประเทศ เป็นรถยนต์สปอร์ตคูเป้ 4 ประตูรุ่นใหม่ ที่มาพร้อมกับดีไซน์ที่น่าหลงใหลเหนือระดับ สะท้อนแนวคิดของการออกแบบรถยนต์ในแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โฉบเฉี่ยวด้วยไฟหน้า MULTIBEAM LED และเสริมความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี และระบบความปลอดภัยครบครัน อาทิ ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า, ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา หรือระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ เป็นต้นโดยผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชมพร้อมสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั้ง 32 แห่งทั่วประเทศ” มร. ฟรังค์ กล่าวปิดท้าย
สำหรับ ดีไซน์ภายนอก มีจุดเด่นอยู่ที่ชุดไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ดีไซน์ใหม่ และกระจังหน้าแบบ diamond grille ที่มีเส้นตัดแบ่งเส้นเดียวอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์แบบคูเป้ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมเส้นสายที่ดูกว้างและมีลักษณะทอดตัวลงไปที่พื้น คล้ายกับลักษณะของ Mercedes-AMG GT
นอกจากนี้ รถยนต์รุ่นนี้ยังมาพร้อมกับหลังคาซันรูฟเลื่อนเปิด – ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า, กันชนหน้า – หลัง และสเกิร์ตข้างดีไซน์สปอร์ตจาก AMG, สัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิปเปอร์เบรก, ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 19″, ยางรถยนต์แบบ Run-flat tyres และไฟท้ายแบบ LED พร้อมเทคโนโลยีไฟเบอร์ออฟติก
ดีไซน์ภายในห้องโดยสารนั้นหรูหราเรียบง่าย แต่เพิ่มความพิเศษด้วยการติดตั้งไฟประดับที่ช่องลมของเครื่องปรับอากาศ เพื่อเสริมรูปลักษณ์ของช่องลมที่ดูคล้ายเครื่องยนต์เครื่องบินเจ็ทให้ดูโดดเด่นสวยงามมากยิ่งขึ้น พร้อมเสริมลูกเล่นด้วยการเปลี่ยนสีเมื่อมีการปรับอุณหภูมิ
รวมถึงการออกแบบแผงหน้าปัดสำหรับผู้ขับขี่แบบดิจิทัล ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบการแสดงผลของแผงหน้าปัดได้ 3 แบบ เพื่อให้เหมาะกับความรู้สึกขณะขับขี่ หรือให้เข้ากับการตกแต่งภายในห้องโดยสาร
นอกจากนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้มีการออกแบบเบาะที่นั่งสำหรับรถยนต์ตระกูลซีแอลเอสให้มีการจัดวางเบาะที่นั่งเป็นแบบ 5 ที่นั่ง โดยมีวัสดุหุ้มเบาะเป็นหนัง nappa และฝีเข็มสำหรับทั้งเบาะที่นั่งคู่หน้า และเบาะที่นั่งตอนหลังที่อยู่ในตำแหน่งตรงกับเบาะที่นั่งตอนหน้าถูกจัดวางให้เหมือนกันทุกประการเพื่อสร้างความรู้สึกให้คล้ายกับรถสปอร์ต 1 ที่นั่ง
เบาะที่นั่งตอนหลังยังสามารถพับลงแบบ 40/20/40 ได้, เบาะที่นั่งคู่หน้าสามารถปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจำ, พวงมาลัยเพาเวอร์แบบมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ต 3 ก้านท้ายตัดที่ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถด้วยระบบไฟฟ้า หุ้มหนัง nappa พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch Control, ระบบ AUDIO 20 GPS และหน้าจอแสดงผลข้อมูลแบบ Digital widescreen cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว, ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย touchpad, กาบบันไดเรืองแสงพร้อมสัญลักษณ์ Mercedes-Benz, ชุดคันเร่งและแป้นเบรกแบบสปอร์ต อีกทั้งยังสามารถเลือกสีของไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารได้ถึง 64 สี (Premium ambient lighting)
Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium รุ่นประกอบในประเทศ มาพร้อมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC และระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็ว ควบคุมแรงเหวี่ยงจากการทำงานของเครื่องยนต์ให้ต่ำลง ช่วยให้สมรรถนะการขับขี่นุ่มนวล และมีประสิทธิภาพมากขึ้น