เมืองไทยเป็นเมืองร้อนใครๆ ก็รู้แต่บางทีรู้สึกว่ามันก็ร้อนไปนะ เดินไปเดินมาไม่กี่ก้าวก็เหงื่อแตกพลักๆ ละ เดินไปเดินมาชักไม่ไหวเลยมองหาเครื่องดื่มเย็นๆ กะว่าจะกระดกซดให้ชุ่มคอซะหน่อย ก็เหลือบไปเห็นซุ้มขาวๆ ดาวแดงๆ ตรงสยามดิสคัฟเวอรี่ โอ้วววว ลานเบียร์แน่ๆ รีบเลยครับมุ่งหน้าไปในทันที
เดินไปถึงทางเข้าเจอพนักงานตอนรับผมรีบถามเลย ”โต๊ะว่างมั้ยครับ” น้องพนักงานหน้าทางเข้ายิ้มหวานและตอบมาว่า ลงทะเบียนรึยังคะ ไอ้เราก็งงจะมานั่งชิลๆ ทำไมต้องลงทะเบียน หลังจากทำหน้างงได้ไม่นาน น้องพนักงานก็ยื่นโบรชัวร์ พร้อมปากกามาให้ แค่นั้นแหละผมก็ได้ถึงบางอ้อซะที
จากเดิมคิดว่าจะมานั่งตากแอร์ซดเบียร์เย็นๆ กลับกลายมาเจอเข้ากับงานนิทรรศการของไฮเนเก้นเข้าซะแล้ว ตอนแรกว่าจะไม่เข้าไปละ แต่ไหนๆ ก็มาละ เข้าไปเดินตากแอร์ซะหน่อยละกัน เมื่อก้าวเข้ามาก็มีพนักงานต้อนรับเดินพาไปห้องต่างๆ ดูจากโบรชัวร์ที่ได้รับ นิทรรศการครั้งนี้มีชื่อเรียกว่า Behind the Star Experience
โดยในอาคารที่เข้ามาจะแบ่งเป็น 2 ชั้นทั้งหมด 7 โซน ความน่าสนใจของนิทรรศการครั้งนี้คือ ทำออกมาได้สวยงาม ผสมผสานกับการนำเสนอที่ทันสมัย เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ว่ามันทันสมัยยังไง
มาเริ่มกันที่โซนที่ 1 Relive the Origin of Greatness เมื่อก้าวเข้ามาเราก็จะได้เห็นเส้นทางการเติบโตของไฮเนเก้นว่ามีที่มาที่ไปยังไง ลูกเต้าเหล่ากอใคร ใครญาติใคร บนกำแพงจะเขียนบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด แต่ลุงแก่แล้วตัวหนังสือเล็กๆ ในห้องสลัวๆ ลุงอ่านไม่ไหว เลยเดินชมแบบสวยๆ งามๆ มองหนุ่มๆ สาวๆ เค้าถ่ายเซลฟี่เล่นกันไป แต่ก็ยังพอจับใจความได้ว่ามันเริ่มต้นเมื่อปี 1873 โดยนาย Gerard Heineken ที่มีความหลงใหลในรสชาติของยอดข้าวเลยเปิดโรงหมักเบียร์ขึ้นมันเองซะเลยกลางกรุงอัมสเตอร์ดัมแล้วก็คิดสูตรที่อะไรต่างๆ ขึ้นจนเป็นที่ยอมรับของคนแถวนั้น
พอเดินขึ้นบันไดมาก็จะเป็นโซนที่ 2 เป็นส่วนจัดแสดงวิวัฒนาการของโลโก้ ขวดเบียร์ และฉลากของไฮเนเก้นในยุคต่างๆ อันนี้ดูน่าสนใจดี พวกดีไซน์เนอร์ไม่ควรพลาด เพราะมีงานออกแบบเจ๋งๆ สร้างแรงบันดาลใจอยู่พอสมควร แถมยังเอาทีวีจอแก้วมาเรียงๆ เปิดโฆษณาเบียร์ไฮเนเก้นให้ดูกันเพลินๆ
เดินเลยมาหน่อยก็เป็นโซน 3 โซนนี้จัดไว้ให้ดม มีทั้งข้าวบาเลย์ และยีสต์ให้ดูให้ดม ว่าไอ้ที่เรายกซดกันมาเริ่มต้นมาจากของพวกนี้เนี้ยแหละ เราก็ลองดมดูไอ้ข้าวบาร์เลย์กลิ่นมันก็เหมือนขนมปังโฮลวีทเนี้ยแหละ ส่วนยีสต์นี้กลิ่นไม่ต้องพูดถึงกลิ่นตุๆ เหมือนหมาเปียกน้ำ แต่พอผ่านกรรมวิธีไอ้ของที่ว่าเหม็นๆ นี้มากี่ขวดก็หมด
โซนที่ 4 เริ่มมีการเอามัลติมีเดียเข้ามาผสมผสานในการนำเสนอด้วยเทคนิค Lighting Injection เหมือนเดินอยู่ในเทพนิยาย มีเถาวัลย์ค่อยๆ เลื้อยๆ แล้วดอกฮอปส์ก็ค่อยๆ งอกออกมา โคตรดีงามเลยตรงจุดๆ นี้
เดินลงบันไดมาจะเป็นโซนที่ 5 เราขอเรียกโซนปล่อยแก่ มันคือบ้านบอลที่เราปล่อยบุตรหลานเข้าไปลุยลูกบอลกันเนี่ยแหละ เห็นสาวๆ เล่นกันใหญ่เลย ห้องนี้เค้าจำลองให้เราตัวเราเป็น ยีสต์ ที่อยู่ในถังหมักเบียร์ที่วางในแนวนอน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของไฮเนเก้นที่ต้องบ่มเบียร์เป็นเวลา 28 วัน ใครเข้าไปก็เดินกันดีๆ นะเว้ย ลื่นล้มมาหัวแตกจะพาพนักงานในนั้นซวยกันหมด
มาถึงโซนที่ 6 Take an Epic Journey Around the World โซนนี้เป็นอีกการนำเสนอที่ดูเข้าท่าดีเหมือนกันโดยการนำเสนอผ่านแว่น VR Simulation Chair เป็นการพาเราเข้าไปสู่โรงงานบรรจุเบียร์ โดยผ่านมุมมองของขวดเบียร์ ก็ไหลๆ เพลินๆ ดี มีเซอร์ไพรส์ด้วยนะเว้ย
เอาเราก็นึกว่าหมดละ ยังมีตบท้ายด้วยโซน 7 Savor the One and Only Star Serve Ritual เป็นเทคนิกการรินเบียร์ และเสิร์ฟตามเทคนิคเฉพาะของไฮเนเก้น เรียกว่ายืนดูแล้วเปรี้ยวปากเต็มที่ไอ้หนุ่มหน้าหล่อที่เอาเบียร์เสิร์ฟให้ก็ถามว่า “พี่ไม่ดื่มเหรอครับ” แค่นั้นแหละ ผมนิยกซดน้ำตาไหลเลยบิ้วท์มาตลอดทาง ถ้าจะไม่ให้ดื่มก็เกินไปละ เป็นที่หน้าตกใจว่าทำไมมันอร่อยกว่าเบียร์ที่เรากินปกติทั่วไปทั้งๆ ที่เป็นไฮเนเก้นเหมือนกัน อยากรู้ว่ามันอร่อยแค่ไหนคงต้องมาชิมกันเอง
ก่อนเดินออกก็เจอโซนสุดท้าย ท้ายสุดจุดขายของที่ระลึกของไฮเนเก้นก็มีน่าสนใจน่าสะสมอยู่หลายอย่างเหมือนกันราคาก็เบ เบ ใครก็ซื้อได้ ยังไงซะ ไฮเนเก้นเค้าลงทุนสร้างสรรค์นิทรรศการดีๆ อย่างงี้ออกมาแล้ว ก็ไม่อยากให้พลาดกัน เค้าว่าจัดถึงแค่ 18 พฤษภานี้แล้วเท่านั้นนะ เวลา 10.00 – 22.00 น. ยังไงก็ไม่อยากให้พลาดเพราะ ”ฟรี!!!!”