รถหลากหลายรุ่นอาจมุ่งตอบคำถามเรื่องความสะดวกสบาย รถหลากหลายรุ่นต่างมุ่งเน้นประสิทธิภาพการขับขี่ และรถอีกจำนวนไม่น้อยเน้นให้ความสำคัญกับระบบความปลอดภัย แต่ไม่มีรถยี่ห้อไหนใส่ส่วนผสมทั้งหมดได้อย่างกลมกลืนและลงตัว รวมถึงให้ความรู้สึกมั่นใจในการขับขี่เท่ากับรถสัญชาติสวีเดนในนามวอลโว่ ที่ยังคงเส้นคงวาในเรื่องคุณสมบัติดังกล่าวตั้งแต่ค.ศ.1927 และสืบต่อมาถึงปัจจุบัน
เช่นเดียวกับยานยนต์อเนกประสงค์ขนาดกลางระดับพรีเมียม วอลโว XC60 D4 AWD รุ่นล่าสุด ที่ถูกออกแบบใหม่ในทุกรายละเอียด ด้วยดีไซน์อันหรูหราและสง่างาม รวมถึงจะกลายเป็นนิยามแห่งความเร้าใจในการขับขี่แห่งอนาคต โดยในความโค้งมนและกลมกลืนจากหัวจรดท้าย ถูกใส่ใจในรายละเอียดด้วยไฟคู่หน้า ที่เพียบพร้อมด้วยไฟสูง ไฟต่ำ และส่องสว่างเวลากลางวันทรงค้อนธอร์ ลากปลายด้ามทั้งสองไปติดกระจังหน้าอันโดดเด่น สอดรับกับไฟท้ายคู่หลังแนวตั้งเอกลักษณ์ของวอลโว่
ส่วนภายในเรียบหรูสอดรับกับการออกแบบภายนอกสไตล์สแกนดิเนเวียน เฉดเทา-ดำถูกนำมาใช้ไล่เรียงไปตามส่วนต่างๆ ภายในห้องโดยสาร ก่อนจะตกแต่งเส้นขอบ เส้นกรอบ หรือตกแต่งเส้นสายต่างๆ ด้วยวัสดุโลหะมันวาว
มีการติดตั้งเทคโนโลยี Sensus Connect เพื่อเชื่อมต่อการทำงานของ Apple CarPlay และอุปกรณ์ที่ทำงานบนระบบปฎิบัติการ iOS เข้ากับซอฟต์แวร์ของรถยนต์ พร้อมรองรับฟังก์ชันการควบคุมด้วยเสียง นอกจากสามารถสั่งการทำงานของรถยนต์ผ่านพวงมาลัยสามก้านแบบมัลติฟังก์ชั่นแล้ว จอทัชสกรีนบนคอนโซลกลางขนาด 9 นิ้ว คือศูนย์รวมการบังคับและควบคุมระบบต่างๆ ส่วนใหญ่ มีการตอบสนองการสัมผัสอย่างฉับไวและมีหน้าจอคล้ายคลึงกันกับไอแพด ส่งผลให้สามารถใช้งานได้ง่ายและลดปุ่มบังคับและควบคุมบนคอนโซลออกไปได้มาก ไม่ว่าจะเป็นระบบนำทาง ระบบเครื่องเสียง และระบบปรับอากาศ เป็นต้น
คุณอาจต้องปรับความเคยชินเล็กน้อยกับปุ่มสตาร์ทและหยุดเครื่องยนต์ ที่เป็นปุ่มทรงกลมใต้คันเกียร์ขนาดกระทัดรัด แบบใช้สองนิ้วจับและบิดหมุนไปทางขวาแล้วปล่อย เพื่อเริ่มต้นการทำงาน ส่วนเมื่อจะดับเครื่องยนต์ก็ให้บิดหมุนซ้ำไปทางขวาเช่นกัน รวมถึงปุ่มปรับเปลี่ยนโหมดในการขับขี่ให้เหมาะสมตามความต้องการ ซึ่งเป็นลูกกลิ้งให้เลื่อนขึ้น-ลงเพื่อเลือกรูปแบบการขับขี่อย่างง่ายดาย
All New Volvo XC60 D4 AWD มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล ทวินเทอร์โบ พร้อมเทคโนโลยีหัวฉีด i-Art ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,250 รอบต่อนาที ให้กำลังแรงบิด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที โดยมอบอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 8.4 วินาที อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 17.9 กิโลเมตรต่อลิตร และปล่อย CO2 เพียง 146 กรัมต่อกิโลเมตร
ยิ่งไปกว่านั้น รถอเนกประสงค์ขนาดกลางระดับพรีเมียมคันนี้ ยังเพียบพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยใหม่ นอกเหนือจากระบบมาตรฐานที่มีมา ทั้ง City Safty System ที่เพิ่มระบบควบคุมการเลี้ยว (Steering Support) ช่วยหลีกเลี่ยงการปะทะสิ่งกีดขวางตรงหน้า ระบบ Oncoming Lane Mitigation ที่จะเตือนหากนำรถออกนอกช่องทาง ก่อนจะนำรถกลับสู่ช่องทางตามปกติ เพื่อออกจากช่องทางรถสวน และเพิ่ม Steer Assist ในระบบการแจ้งเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Information System) เพื่อหักเลี้ยวรถออกจากการปะทะ หากมีรถคันอื่นพุ่งขึ้นมาจากทางด้านหลัง (อยู่ในจุดบอด)
ด้วยคุณสมบัติเบื้องต้นทั้งหมด ซึ่งมาพร้อมกับค่าตัวราคาเดียวคือ 3.09 ล้านบาทไม่ขาดไม่เกิน บอกได้เลยว่า ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้แรงหรือหนักหนาใดๆ เลยสักนิด เมื่อพิจารณาถึงโฉมหน้าและภายในรถยนต์แบบใหม่หมดจดถอดด้าม สมรรถนะและประสิทธิภาพการขับขี่ที่ดีเกินคาด รวมถึงระบบความปลอดภัยเต็มพิกัดและก้าวล้ำหน้าเกินกว่ายานยนต์บนท้องถนนใดๆ จะสามารถทำได้
เรื่องโดย : สิโรตม์ เพ็ชรจำเริญสุข