การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก โมโตจีพี ประจำปี 2565 สนามที่ 17 รายการ ‘โออาร์ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์’ ณ จังหวัดบุรีรัมย์ ได้รับความสนใจตลอดสุดสัปดาห์ที่ 29 กันยายน – 2 ตุลาคม 2565 โดยในการแข่งขัน โมโตจีพี ประจำปี 2566 ประเทศไทยได้รับการบรรจุชื่อไว้ในปฏิทินการแข่งขันเรียบร้อยแล้ว โดยสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ได้รับเลือกเป็นสนามที่ 18 ในวันที่ 27-29 ตุลาคม 2566
เนื่องจากสภาพอากาศในประเทศไทยช่วงเดือนตุลาคมนั้นมีความไม่แน่นอนเพราะยังอยู่ในฤดูมรสุม โดยสภาพอากาศที่เปียกชื้นส่งผลกระทบต่อการแข่งขันอย่างมาก มิชลินตระหนักถึงปัจจัยดังกล่าวดี จึงนำยางรุ่น MICHELIN Power Rain ออกมาให้เลือกใช้ในครั้งนี้ด้วย
ปิเอโร ทารามัสโซ่ (Piero Taramasso) ผู้จัดการฝ่ายมอเตอร์สปอร์ต กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ 2 ล้อ ของมิชลิน กล่าวว่า “ฤดูกาลที่ผ่าน ๆ มา เรานำเสนอยางให้นักแข่งได้ใช้มากกว่า 40 ตัวเลือก แต่ในฤดูกาลนี้ลดลงมาเหลือเพียง 30 ตัวเลือกที่ผ่านการคัดสรรแล้วว่าเหมาะสมที่สุด ยางล้อหลังซึ่งได้รับการออกแบบเฉพาะสำหรับสนามแข่งแห่งนี้ผ่านการทดสอบ ณ สนามฟิลลิป ไอส์แลนด์ (Phillip Island) ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีลักษณะทางกายภาพใกล้เคียงกันในแง่ที่พื้นผิวทางวิ่งมีอุณหภูมิสูงกว่าสนามอื่น ๆ อย่างชัดเจน เราจึงจัดหายางสูตรพิเศษช่วยลดอุณหภูมิได้ถึง 10 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและทนทานยิ่งขึ้น โดยมีให้เลือกทั้งแบบ Soft และ Medium”
สำหรับยางฤดูฝนที่มิชลินจัดเตรียมไว้มี 2 แบบ ทั้งแบบ Soft ซึ่งเหมาะกับการใช้งานบนพื้นผิวที่มีน้ำมาก และแบบ Medium ซึ่งเหมาะสำหรับพื้นผิวที่มีน้ำน้อย ในทุกสนามแข่งขัน มิชลินจะจัดเตรียมทีมผู้เชี่ยวชาญเอาไว้รวม 25 คน ประจำอยู่ตามพิทของแต่ละทีมแข่งและศูนย์ปฏิบัติการของมิชลิน นอกจากนี้ ยางกว่า 1,200 เส้น (ใช้จริงประมาณ 600 เส้นต่อสนาม) ที่มิชลินนำมาให้นักแข่งเลือกใช้ยังได้รับการจัดส่งตรงจากสำนักงานใหญ่ของมิชลินที่เมืองแกลร์มง-แฟร็อง ประเทศฝรั่งเศส มากับตู้คอนเทนเนอร์ควบคุมอุณหภูมิทางเครื่องบินในบรรจุภัณฑ์แบบมีตัวซับแรงสั่นสะเทือนเพื่อป้องกันความเสียหาย
“เนื่องจากสภาพอากาศในวันแข่งขันมีฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ทุกทีมตัวเต็งจึงเลือกใช้ยาง MICHELIN Power Rain ทำให้การแข่งขันไม่เพียงสนุก เข้มข้น เร้าใจ แต่ยังปลอดภัยด้วย” นายปิเอโร กล่าว พร้อมเสริมว่า “ขณะนี้เราอยู่ระหว่างคิดค้นพัฒนายางสูตรใหม่สำหรับล้อหน้าที่คาดว่าจะพร้อมใช้ลงสนามจริงในปี 2568 โดยจะนำเสนอยางล้อหน้าแบบสมมาตรทั้ง 3 แบบ คือแบบ Soft, Medium และ Hard รวมทั้งยังคงมีการติดตั้งเทคโนโลยีระบบเก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ RFID ซึ่งแสดงผลอย่างแม่นยำแบบนาทีต่อนาที ช่วยให้นักแข่งสามารถปรับกลยุทธ์ได้ในทันที” นายปิเอโรกล่าว
มิชลินมุ่งมั่นทุ่มเทวิจัยและพัฒนายางสำหรับศึกโมโตจีพี ในฐานะผู้นำด้านยางสำหรับกีฬามอเตอร์สปอร์ตระดับโลก โดยส่งผ่านเทคโนโลยีจากการแข่งขันสู่ยางมิชลินที่ใช้ขับขี่ในชีวิตประจำวันทั่วไป อาทิ ‘มิชลิน โรด 6’ (MICHELIN Road 6) ยางสปอร์ตทัวริ่งรุ่นล่าสุดที่พัฒนาขึ้นเพื่อมอบสมรรถนะที่เหนือกว่าในด้านการยึดเกาะ อายุการใช้งาน การบังคับควบคุม และความสะดวกสบายขณะขับขี่ และ ‘มิชลิน โรด 6 จีที’ (MICHELIN Road 6 GT) ยางสำหรับรถจักรยานยนต์ประเภทแกรนด์ทัวริ่งโดยเฉพาะ ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยีพิเศษที่ทำให้ยางมีสมรรถนะในการยึดเกาะถนนเปียกสูงขึ้น ทั้งยังมีอายุการใช้งานเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ศักยภาพที่โดดเด่นของยาง ‘มิชลิน โรด 6’ และยาง ‘มิชลิน โรด 6 จีที’ ยังมาจาก MICHELIN® Water Evergrip Technology™ เทคโนโลยีร่องระบายน้ำบนหน้ายางสิทธิบัตรเฉพาะของมิชลินที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้ประสิทธิภาพสูงในการวิ่งตัดผ่านฟิล์มน้ำและยึดเกาะถนนเปียก ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจขณะขับขี่ท่ามกลางสภาพอากาศชื้นแฉะ ทั้งยังใช้สูตรเนื้อยางที่ผลิตจากซิลิกา 100% ด้วยเทคโนโลยี MICHELIN Silica ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะบนถนนเปียก และใช้เทคโนโลยีเนื้อยางคู่ MICHELIN 2CT+ ทั้งล้อหน้าและล้อหลัง ซึ่งแต่ละส่วนของดอกยางให้คุณสมบัติเชิงสมรรถนะที่แตกต่างกัน โดยเนื้อยางใต้ฐานดอกยางมีความแข็งกว่าจึงให้ความมั่นคงขณะเข้าโค้ง ขณะที่เนื้อยางส่วนบนของดอกยางซึ่งสัมผัสพื้นผิวถนนจะนุ่มกว่าจึงยึดเกาะได้เป็นเยี่ยม ทั้งยังช่วยให้ขับขี่ได้ระยะทางมากขึ้นทั้งบนถนนเปียกและถนนแห้ง เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มสมรรถนะให้ยางตอบสนองต่อการบังคับควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังส่งผลให้ขับขี่ได้อย่างสนุกเร้าใจและปลอดภัย